เหล็กเกรด SS400 เป็นเกรดเหล็กโครงสร้างคาร์บอนทั่วไปที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเป็นไปตามมาตรฐาน JIS G 3101 ของญี่ปุ่น (หรือเทียบเท่ามาตรฐาน มอก. ของไทย) คำว่า SS400 มีความหมายดังนี้:
SS ย่อมาจาก Steel Structure (เหล็กโครงสร้าง)
400 คือค่า ความต้านทานแรงดึงต่ำสุด (Tensile Strength) ที่ 400 เมกะปาสกาล (MPa)
คุณสมบัติเด่นของเหล็กแผ่น SS400
เหล็ก SS400 จัดเป็นเหล็กคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Steel) ชนิดหนึ่ง ที่ผ่านกระบวนการรีดร้อน (Hot Rolled) ทำให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ดังนี้
- ความต้านทานแรงดึงสูง (Tensile Strength): มีค่าความต้านทานแรงดึงอยู่ที่ 400 – 510 MPa ซึ่งเป็นความแข็งแรงที่เพียงพอสำหรับการรับน้ำหนักในงานโครงสร้างหลักหลายประเภท
- มีค่าต้านแรงดึงจุดครากที่เชื่อถือได้ (Yield Strength): มีค่าอยู่ที่ประมาณ 205 – 245 MPa (ขึ้นอยู่กับความหนา) ซึ่งช่วยให้วิศวกรสามารถคำนวณจุดที่เหล็กจะเริ่มเสียรูปได้อย่างแม่นยำ
- ความสามารถในการขึ้นรูปและเชื่อมที่ดี (Good Weldability): เนื่องจากเป็นเหล็กคาร์บอนต่ำ จึงมีความยืดหยุ่นและคุณสมบัติในการเชื่อมที่ง่ายต่อการทำงาน ทำให้สร้างโครงสร้างและชิ้นส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ความหนาแน่นมาตรฐาน: มีความหนาแน่นประมาณ 7,860 kg/m³ ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ใช้ในการคำนวณปริมาณวัสดุและน้ำหนักรวมของโครงสร้าง
คุณสมบัติอื่น ๆ ที่สำคัญ:
- ความสามารถในการเชื่อมที่ดีเยี่ยม (Superior Weldability): เนื่องจากมีปริมาณคาร์บอนต่ำ ทำให้เหล็ก SS400 สามารถเชื่อมต่อกับเหล็กชนิดอื่นได้ง่าย และใช้เทคนิคการเชื่อมมาตรฐานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการอุ่นก่อนเชื่อมหรืออบหลังเชื่อมในส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประกอบโครงสร้างขนาดใหญ่
- ความเหนียวและแปรรูปได้ง่าย (Ductility and Workability): มีความเหนียวและยืดหยุ่นในระดับที่ดี ทำให้สามารถนำไปตัด ดัด หรือปั๊มขึ้นรูปได้ง่าย ทำให้สะดวกต่อกระบวนการผลิตและขึ้นรูปโครงสร้างที่ซับซ้อน
- ความแข็งแรงทนทาน (Strength and Durability): มีความแข็งแรงตามมาตรฐานที่เหมาะสำหรับรับน้ำหนักและแรงกดในการใช้งานโครงสร้างทั่วไป
ความเหมาะสมกับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่อเรือ
เหล็ก SS400 เป็นหนึ่งในวัสดุที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมต่อเรือและโครงสร้างทางทะเล เนื่องจากคุณสมบัติที่สำคัญดังนี้:
1. ความสามารถในการเชื่อมสูง: ในอุตสาหกรรมต่อเรือ จำเป็นต้องมีการเชื่อมเหล็กแผ่นหลายส่วนเข้าด้วยกันเพื่อสร้างตัวเรือ (Hull) และโครงสร้างภายใน การที่ SS400 เชื่อมได้ง่ายและให้รอยเชื่อมที่แข็งแรงสม่ำเสมอ ช่วยให้กระบวนการผลิตเรือมีประสิทธิภาพและได้มาตรฐาน
2. ความสมดุลของความแข็งแรงและความเหนียว: ตัวเรือจะต้องทนทานต่อแรงเค้น (Stress) ต่าง ๆ ทั้งจากน้ำหนักบรรทุก แรงคลื่น และแรงกระแทก เหล็ก SS400 มีค่าความต้านทานแรงดึงที่เหมาะสม พร้อมทั้งยังมีความเหนียว (Ductility) ที่ช่วยให้วัสดุสามารถยืดตัวได้โดยไม่แตกหักง่ายเมื่อเกิดแรงกระทำ
3. ความคุ้มค่าและพร้อมจำหน่าย: เมื่อเทียบกับเหล็กเกรดสำหรับการต่อเรือโดยเฉพาะ (เช่น เกรด A, B, D, E หรือ AH36) เหล็ก SS400 มีราคาที่ประหยัดกว่า และหาได้ง่ายในท้องตลาด จึงมักถูกนำมาใช้ในส่วนที่ ไม่ใช่โครงสร้างหลักที่สำคัญต่อความปลอดภัยสูงสุด หรือ ส่วนประกอบรองของเรือ เช่น ชิ้นส่วนของพื้นและผนังที่ไม่ได้รับแรงหนักมากฐานรองเครื่องจักร หรือส่วนประกอบภายในที่ไม่ใช่โครงสร้างชิ้นส่วนประกอบบนดาดฟ้าเรือบางส่วน
4. ความสามารถในการแปรรูป: การผลิตเรือต้องมีการตัดและดัดเหล็กแผ่นให้เป็นรูปทรงต่าง ๆ เพื่อประกอบเป็นตัวเรือ การที่ SS400 สามารถแปรรูปได้ง่าย ทำให้การทำงานในโรงต่อเรือเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับส่วนประกอบโครงสร้างหลักของเรือที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมทางทะเลโดยตรง (เช่น ตัวเรือส่วนใต้แนวน้ำ) มักจะเลือกใช้เหล็กเกรดเฉพาะสำหรับการต่อเรือที่มีการควบคุมคุณสมบัติทางเคมีและทางกลที่เข้มงวดกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของ ความทนทานต่อแรงกระแทกที่อุณหภูมิต่ำ และ ความต้านทานการกัดกร่อน ที่เหนือกว่า SS400 ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความปลอดภัยและอายุการใช้งานของเรือขนาดใหญ่
สั่งซื้อเหล็กคุณภาพจากโรงงานโดยตรงได้ที่ SEEB บริษัท สตีล เอ็นเนอร์จี้ อีซี่ บาย จำกัด
โทร: 02-408-3433, 099-494-2192
E-mail: Seebsteel@gmail.com
Facebook: Seebsteel
Line: https://lin.ee/Er72Vl9